Present Simple Tense ประโยค — Tense คู่ - Tense

ทุกวัน แม่ของเธอเลิกงานกี่โมง

1. Worksheet
2. Practice
3. English
4. French
5. Tense คู่ - tense
6. บอกเล่า

Worksheet

Practice

Two or more tenses คือ การใช้ Tense 2 Tense หรือมากกว่า 2 Tenses ขึ้นไป เพื่อบรรยายเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่า 2 เหตุการณ์ ซึ่งถ้าเรารู้เรื่องการใช้ Two or more tenses ในประโยคจะทำให้เรารู้และลำดับว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนและหลัง หรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนใช้ Tense อะไรหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังใช้ Tense อะไร 1. การใช้ Present Simple Tense กับ Future Tense กล่าวคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเรามักใช้ Present Simple Tense ส่วนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายหลังให้ใช้ Future simple Tense ซึ่งสามารถแสดงเป็นโครงสร้างได้ดังต่อไปนี้ If + Present Simple Tense[S. +V. 1], Future Simple Tense [S. +will+V. 1] หรือ Future simple Tense[S. 1] + if + Present Simple Tense [S. 1] ตัวอย่างเช่น If you come, I will go. หรือ I will go if you come. ถ้าคุณมาผมก็จะไป 2. การใช้ Past Simple Tense คู่กับ Past Perfect Tense ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเราจะใช้ Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังให้ใช้ Past Simple Tense สามารถแสดงเป็นโครงสร้างได้ดังต่อไปนี้ Connector, Conjunction + Past Simple Tense [S. 2], Past Perfect Tense [S. + had+V.

English

สมชายควรจะไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้ใช่ไหม When should Somchai go to school? สมชายควรจะไปโรงเรียนเมื่อไหร่ (ตัดเดี๋ยวนี้ เพราะต้องการคำตอบที่เป็นเวลา) Shomchai should go to school now. สมชายควรจะไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้ Why should Somchai go to school now? ทำไม สมชายควรจะไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้ (ไม่ตัดอะไรเลย เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ในประโยค) Because he will be late. เพราะว่า เขาจะไปสาย Do they go to school by bus? พวกเขาไปโรงเรียนโดยรถบัสใช่ไหม How do they go to school? พวกเขาไปโรงเรียนอย่างไร (ตัดโดยรถบัสออก เพราะคำตอบต้องการวิธีการ) They go to school by bus. พวกเขาไปโรงเรียนโดยรถบัส สรุปประเด็นที่ต้องจดจำให้ได้ 1. การสร้างประโยคคำถาม (yes – no question) จากประโยคบอกเล่าถ้ามีให้นำหน้าประโยค (แต่ไม่ใช่ทุกตัว) ถ้าไม่มี ให้เอา Do กับ Does มาใช้แทน 2. การสร้างประโยคคำถาม (wh- question) ให้เอา wh-question นำหน้า yes-no question ได้เลย แต่ต้องตัดคำตอบออกด้วย แหล่งอ้างอิง::

French

มาร์กอาศัยอยู่ในแคนาดาหรอ Do your parents live far from here? พ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ไกลจากที่นี่หรอ Does he work at the bank? เขาทำงานที่โรงพยาบาลหรอ Does she speak English? หล่อนพูดภาษาอังกฤษไหม Do they always go to the park on Sunday? พวกเขาไปที่สวนสาธารณะในวันอาทิตย์เป็นประจำหรอ Do you like cheese? คุณชอบชีสไหม Does Jane play tennis? เจนเล่นเทนนิสไหม Does it rain a lot where you live? ที่ที่คุณอาศัยอยู่ ฝนตกเยอะไหม เราอาจจะสร้างประโยคคำถามโดยใช้คำว่า who, what, where, why, when, how ขึ้นต้นประโยค ร่วมกับ do และ does ก็ได้เช่นกัน ตัวอย่าง Where does your sister live? น้องสาวของเธออาศัยอยู่ที่ไหน Where do you work? คุณทำงานที่ไหน What does it mean? มันหมายความว่าอะไร Who do you think you are? คุณคิดว่าคุณเป็นใคร Why do we dream? ทำไมพวกเราถึงฝัน How often do you use your computer? คุณใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณบ่อยแค่ไหน How much does it cost? มันราคาเท่าไร How often does he drink beer? เขาดื่มเบียร์บ่อยแค่ไหน How often does it rain in Bangkok? ในกทม. ฝนตกบ่อยแค่ไหน How do you feel? คุณรู้สึกอย่างไร What time does your mum finish work every day?

Tense คู่ - tense

บอกเล่า

Do Jack and his friends play football everyday? การตอบแบบ Short answer Yes, he/she/it does. No, he/she/it doesn't. Yes, I/you/we/they do. No, I/you/we/they don't. 2. 2 ใช้ Question words (What/ Where/ When / Why/ ……+ do/does + ประธาน + กริยา…….? ) เช่น What do you eat for lunch? I eat noodles. Where does Jim go Mondays? He goes to school. How do they go to school? They go to school by school bus. 3. ประโยคปฏิเสธ ใช้ do not (don't), does not (doesn't) ตามด้วยคำกริยาแท้รูปเดิม I don't like Thai. She doesn't like English. Jack doesn't play football everyday. หลักการเติม s ที่คำกริยา 1. กริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, x, ch, ss, และ sh, ให้เติม es เช่น pass – passes = ผ่าน brush – brushes = แปรงฟัน catch – catches = จับ go – goes = ไป box – boxes = ชก 2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a e i o u ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es study studies เรียน, cry – cries = ร้องไห้, fry – fries = ทอด 3. กริยาที่นอกเหนือจากที่ไม่เข้ากฎในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย Adverb of Frequency ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes อยู่ ต้นประโยคก็ได้ เช่น always สม่ำเสมอ 100% usually เป็นประจำ 80% often บ่อยๆ 60% sometimes บางครั้งบางคราว 30% seldom นานๆครั้ง 10% never ไม่เคย 0% Examples: Sandy always goes to school early.

• ราคา gasohol 91
• Nissan March วางเครื่อง K24 ปี 2018 จด 2019 หล่อ แรง จัดเต็ม 22767602
• เนื้อเพลง เหมือน เดิม
• แอล โอรส ปัจจุบัน
• บริษัท ไทย อาซาฮี เดนโซ่ จำกัด - โรงงาน
• คอ ร์ ท แบ ด พัทยา
• ขาย tenga zero turn
• Samsung Galaxy Note 10 เปิดตัว! ปากกาใหม่ จอใหญ่ ดีไซน์สวย | Khaosod | LINE TODAY
• It cosmetics confidence in a cleanser รีวิว
• Air pressure experiments with balloons

1. โหลด amazing frog island vii 2021
2. คอน โด ซอย นานา ไรบีนา
3. ดู เลข เบอร์ มงคล
4. สันติ พงศ์ ภัณฑารักษ์
5. Yuwell ye650d ราคา